ใครที่ร่ำเรียนหรือฝึกการเปิดตาที่สามมาแล้ว หรือคนที่มีพรสวรรค์ความสามารถพิเศษติดตัวมา ที่สามารถเห็นแสงออร่าของตนเองหรือคนอื่นได้ ส่วนคนทั่วๆที่ไม่มีสิ่งเหล่านี้ก็ต้องพึ่งพากล้องออร่าสำหรับถ่ายแสงออร่าถ้าเราต้องการอยากรู้ว่าตัวเองมีแสงสีอะไรติดกายอยู่ รัศมีแผ่ออกไปกว้างแค่ไหน ซึ่งแม้แต่เครื่องรางหรือกระทั่งพระเครื่อง ก็สามารถจะมีรัศมีเปล่งออกมาได้เป็นแสงสีรอบๆวัตถุนั้น
pala จึงมาแนะนำการใช้เพนดูลั่มที่เรามีกันอยู่มาใช้ในการวัดพลังรัศมีที่แผ่ออกมารอบๆตัวเราว่ามีขนาดความกว้างเท่าใดและเป็นสีอะไรอยู่ในขณะนั้น แต่ก่อนที่จะเข้าไปสู่ขั้นตอนการใช้เพนฯตรวจวัด เบื้องต้นเราควรทำความรู้จักกับ Aura กันก่อน
Aura รัศมีร่างกายคืออะไร รัศมีร่างกายเป็นสนามพลังที่ล้อมรอบวัตถุทุกอย่าง ในเชิงวิทยาศาสตร์โครงสร้างของอะตอมจะต้องมีรังสีรัศมีล้อมรอบ หรือมีสนามพลังที่อยู่รอบตัวมัน อะตอมของวัตถุที่มีตัวตนจะประกอบด้วยอีเลกตรอนและโปรตรอนที่มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา สีงเหล่านี้เป็นพลังไฟฟ้าและแม่เหล็กที่มีการสั่นสะเทือน
อะตอมของสีงมีชีวิตจะมีการเคลื่อนไหวและสั่นสะเทือนมากกว่าสีงที่ไม่มีชีวิต ดังนั้นสนามสั่นสะเทือนของต้นไม้ ดอกไม้ สัตว์ และมนุษย์ย่อมตรวจพบและมีประสบการณ์มากกว่า พวกเราเคยรู้สึกชอบหรือเกลียดใครบางคนขึ้นมาทันทีหรือไม่ เคยมีความรู้สึกว่ามีคนแอบมองเราอยู่ เคยรู้สึกอยากถอยหนีห่างจากคนบางคนแม้เพิ่งจะพบกันครั้งแรก หรือ รู้สึกอึดอัดเมื่อเดินเข้าไปในห้องบางห้องหรือสบาย นั่นคือสนามพลังจากภายนอกที่มีเข้ามากระทบกับรัศมีร่างกายเรานั่นเอง ท่านจะรู้สึกได้ง่ายๆเมื่อเหยียบพื้นดินนอกชายคาบ้านด้วยเท้าเปล่า หรือถอดรองเท้าอยู่ จะมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
คุณสมบัติพื้นฐานของรัศมี auraก็คือ มีการสั่นสะเทือนเป็นของตนเอง คลื่นความถี่รังสีของร่างกายเราอาจไปเกิดใกล้เคียงกับของคนอื่น จึงเกิดการรวมตัวโดยธรรมชาติ ไม่แปลกหากเรารู้สึกสนิดสนมกับบุคคลอื่นได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากรังสีรัศมีที่มีรูปแบบคล้ายกัน แต่กับบางคนที่มีคลื่นความถี่แตกต่างกันอย่างมากมายกับรัศมีของเรา จะมีผลทำให้ไม่ชอบคนผู้นั้นทันที มีความรู้สึกต่อต้านกระแทกกลับทันที เหล่านี้คือหลักการเบื้องต้น เท่าที่สามารถเล่าสู่กันฟังแบบง่ายๆให้ทุกท่านพอเข้าใจได้ โดยไม่อธิบายล่วงลึกจนเป็นวิชาการมากเกินไป ที่อาจทำให้รู้สึกน่าเบื่อหน่ายไปในที่สุด
คราวนี้ก็มาเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการวัดสนามพลังออร่าโดยใช้เพนดูลั่ม วิธีการแรกคือ วัดรัศมีของผู้อื่นโดยคุณเป็นผู้ยืนถือเพนดูลั่มไว้ในมือ ให้ผู้ร่วมทดลองอีกคนยืนห่างจากคุณออกไปประมาณ 3 เมตร ให้สงบผ่อนคลายร่างกายสักเล็กน้อยก่อน
เริ่มลงมือปฏิบัติ ( แนะนำให้หายใจทำลมปราณโคจรรอบกาย ) บอกตัวเองและสั่งเพนดูลั่มในมือที่ต้องการวัด aura รัศมีร่างกายของผุ้ร่วมทดลอง ซึ่งวิธีนี้เพนดูลั่มจะไม่วัดรัศมีของผู้วัด ค่อยๆก้าวเดินไปข้างหน้าจังหวะที่เคลื่อนตัวเพนดูลั่มที่ถืออยู่อาจเกิดอาการแกว่งไกว ค่อยๆก้าวเคลื่อนที่เข้าไปหาผู้ร่วมทดลองโดยทิ้งช่วงจังหวะหยุดเล็กน้อยเพื่อให้เพนดูลั่มได้หยุดพัก ก่อนที่จะให้คำตอบแก่เราตามโปรแกรมที่วางไว้ สังเกตดูอาการเคลื่อนไหวของเพนดูลั่มในมือเราเมื่อเกิดอาการหมุนแกว่งเพื่อแสดงถึงการสัมผัสกับด้านริมสุดของรัศมีร่างกายของผู้ร่วมทดลอง ซึ่งจะทำให้เราทราบได้ทันทีว่า รัศมี aura ของผู้ร่วม
ทดลองมีขนาดครอบคลุมตัวเขาอยู่แผ่กว้างออกมาเท่าใด วิธีการนี้ถึงแม้อาจจะช้าไปบ้างแต่จะได้คำตอบที่ถูกต้องและชัดเจนมากที่สุด
อีกวิธีที่จะใช้วัดตัวเองก็คือตั้งคำถามเกี่ยวกับรัศมี aura ร่างกายเราเอง “ รัศมีออร่าข้ามีขนาด 5 เมตรใช่ไหม . . . รัศมีออร่าร่างกายข้ามีขนาด 3 เมตรใช่ไหม . . . รัสมีออร่าร่างกายข้ามีขนาด 0 – 5 เมตรใช่ไหม “ แล้วค่อยๆตั้งคำถามที่บีบแคบลง จนเป็นคำถามที่เจาะจงโดยเฉพาะ เช่น รัศมีออร่าร่างกายข้ามีขนาด 1 เมตรใช่ไหม แบบนี้ครับ หวังว่าคงไม่ยากเกินไปทั้งสองวิธีใช่มั๊ยครับ ใครที่ชำนาญแล้วก็อาจจะดัดแปลงเอาทั้งสองวิธีมาสลับใช้รวมกันในคราวเดียว เพื่อให้ได้คำตอบที่
ชัดเจนแม่นยำมากที่สุด
ต่อมาก็มาดิ่งหาสีในรัศมีร่างกาย การเข้าใจในรัศมีรังสีออร่าของร่างกาย มีข้อแนะนำที่ต้องจดจำไว้คือ
1 . สีที่อยุ่ใกล้ชิดร่างกาย จะสะท้อนให้รู้เห็นถึงสภาพของร่างกายและพลังงาน ส่วนสีที่อยู่ขอบนอกจะสะท้อนสภาวะของพลังทางด้านอารมณ์ และ จิตใจ
2. สีที่ชัดเจนแจ่มใสมากเท่าไรก็ยีงดีเท่านั้น สีที่มัวหมองหนาทึบแสดงถึงความไม่สมดุลและกำลังเผชิญปัญหาอื่นๆ ในบริเวณที่สีของจักระนั้นเกี่ยวข้องอยู่ด้วย
3 . รัศมี aura ในร่างกายมีสีมากกว่าหนึ่งสี
4. รัศมี aura ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลงมากมายภายในวันเดียวกัน อารมณ์และการกระทำที่รุนแรงทางร่างกายหรือจิต มีผลเปลี่ยนแปลงต่อสีและความสว่างต่อรัศมีร่างกายได้
5. ห้ามเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับรัศมีร่างกายของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเขาก่อน นอกจากว่าจะได้รับการร้องขอให้ท่านตรวจให้
ความหมายของสี สีที่เห็นจะเป็นกุญแจไขออกไปสู่ บุคลิกภาพ อารมณ์วัยภาวะ และสุขภาพกายสุขภาพจิตของบุคคลนั้นๆ สีแต่ละสีจะมีลักษณะของตัวเอง ( * การแปลความหมายของสีแต่ละสีมีความละเอียดอ่อนและลึกซึ้ง สีแต่ละสียังมีสีอ่อนแก่ ลำแสงสว่างสดใสหนาทึบหรือลำแสงบิดเบี้ยวไม่เป็นระเบียบ ความสลับซับซ้อนในการอ่านค่าของสีต่างๆออกมาซึ่งในเชิงเทคนิค จะมีการแปลความหมายให้เข้าใจเป็นพิเศษ ฉะนั้นความหมายของสีแต่ละสีทั้งหมดที่นำมากล่าวต่อไปนี้ จึงเป็นเพียงการแปลความหมายของสีในขั้นเบื้องต้นแบบฉบับย่อเท่านั้น )
สีแดง สีที่ทีพลังเข้มแข็ง พลังแห่งความมุ่งมั่นตั้งใจ เป็นสีที่มีผลกระทบต่อการหมุนเวียนของโลหิตในร่างกาย ซึ่งถ้าเป็นสีแดงคล้ำ แสดงว่ากำลังเครียด ความก้าวร้าว โมโฉุนเฉียว
สีดำ หมายถึงภาวะสับสน ทุกข์ระทมมีปัญหาสุขภาพรุนแรง ฟุ้งซ่าน ถ้าเป็นดำอ่อน หรือ สีเทา หมายถึงพัฒนาช้า
สีขาว เป็นสีที่เห็นได้ส่วนใหญ่ในรัศมีร่างกายมนุษย์ ก่อนเห็นสีอื่นๆ ยีงถ้าปรากฏออกมาอย่างเด่นชัดแสดงให้เห็นว่าพลังของคนผู้นั้นได้รับการฟอกสะอาดบริสุทธิ์แล้วหมายถึงสภาวะจิตใจงาม แต่ถ้าขาวขุ่นเหมือนน้ำซาวข้าวหมายถึงสภาวะที่ผิดหวังอมเศร้า
สีส้ม หรือ สีแสด เป็นสีผู้นำมีความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าหาญ ขยัน รับผิดชอบเป็นสีที่สะท้อนให้เห็นถึงการเปิดออกรับความรู้ใหม่ๆ
สีเหลือง เป็นสีแรกในรัศมีร่างกายที่เห็นได้ง่าย เป็นสีของกิจกรรมด้านจิตใจ แสงสว่าง สติปัญญาดี เฉลียวฉลาด ซื่อสัตย์เมื่อมีความบริสุทธิ์มากขึ้นสีเหลืองจะสดใสขึ้นเป็นลำดับ
สีเขียว สะท้อนให้เห็นถึงความเจริญเติบโต เป็นบุคคลที่พึ่งพาอาศัยได้ ภาวะมุ่งมั่นระเบียบวินัยความสมดุล แต่ถ้าเขียวคล้ำแสดงว่ากำลังมีปัญหาสุขภาพ
สีฟ้าหรือคราม เป็นสีที่ถัดจากสีเขียวและสีเหลือง เป็นสีที่เห็นได้ง่ายสีหนึ่งในรัศมีร่างกายของมนุษย์ เป็นสีแห่งความสงบเงียบสมถะ ปล่อยวางรักสงบ พอใจในสีงที่ตนมีตนเป็น ไม่เดือดร้อนกับเหตุการณ์ต่างๆ
สีน้ำเงิน สีของความเชื่อศรัทธาและจริงใจ แสดงให้เห็นถึงความสามารถของผู้มีตาทิพย์ และการพัฒนาทางด้านโทรจิต แต่ถ้าอ่อนเป็นสีคล้ำแสดงถึงความห่อเหี่ยวทางด้านจิตใจ ความวิตกกังวลอมโศก
สีม่วง เป็นสีแห่งความอบอุ่นและการเปลี่ยนแปลง เป็นสีที่รวมหัวใจและจิตวิญญาณเข้าด้วยกัน สะท้อนให้เห็นถึงผู้ค้นหา มีสัมผัสพิเศษสีม่วงแดงหมายถึงกิเลสที่รุนแรงและพลังของจิตใจ
เมื่อรู้จักและตีความของสีต่างๆของ aura ในร่างกายได้แล้ว เพียงแต่ยังไม่สามารถที่จะมองเห็นได้ด้วยสายตาและภายในจิต เพนดูลั่มของเราจะช่วยการมองเห็นได้ด้วยจิตใต้สำนึก และนำออกมาให้เห็นได้ในจิตสำนึก
ขั้นแรกเราต้องมีเครื่องมือสำหรับเลือกสี เรียกว่าแผ่นแผนภูมิ โดยเขียนตารางบนกระดาษขาว ตีตารางแบ่งเป็นช่องๆ ใช้สีระบายตามสีที่ระบุไว้ทุกช่องมือถือเพนดูลั่มไว้ลอยอยู่เหนือแผ่นแผนภูมิ เริ่มจากสีแดงปลายสุดแล้วค่อยๆเคลื่อนไปตามสีบนแผ่นนั้น เราจะกำหนดคำตอบ ใช่ หรือ ไม่ใช่ เพื่อตัดสินสีออร่าของร่างกาย “ สีแดงเป็นส่วนหนึ่งของรัศมีร่างกายข้าหรือไม่ “ หรือ “ สีแดงเป็นสีขั้นต้นของรัศมีออร่าของคุณ .... หรือเปล่า “ “ สีสำคัญรองลงมาจากสีขั้นแรกของข้าหรือของคุณ .... เป็นสีอะไร “
ถ้าปลายลูกดิ่งไปหมุนอยู่ระหว่างสีสองสี ย่อมแสดงความสำคัญสองสีเท่ากัน มีสีบางสีที่ไม่ปรากฏบนแผ่นแผนภูมิที่ได้ทำไว้ เราต้องตั้งคำถามว่า “ สีอะไรเป็นสีที่ใกล้เคียงกับรัศมีร่างข้า “ ฯลฯ ให้ตั้งสมาธิไปยังเพนดูลั่มเพื่อรับคำตอบว่า ใช่ หรือ ไม่ใช่ สังเกตดูการหมุนของเพนดูลั่มนั้นหมุนรุนแรงเท่าใด แสดงว่าสีนั้นปรากฏในรัสมีออร่าร่างกายชัดเจนมาก เราสามารถใช้วิธีนี้เพื่อช่วยในการค้นหาสีต่างๆในรัศมีร่างกายได้อีก เช่น ... สีแดงอยู่เหนือศรีษะใช่ไหม , สีเหลืองปรากฏอยู่รอบร่างกายข้าใช่ไหม ฯลฯ
อย่าวิตกหรือกลัวที่จะทดลอง ท่านรับรู้ในจิตสำนึกว่าพลังของท่านได้ขยายออกไปไกลเกินกว่าขอบเขตของร่างกาย ได้พัฒนาการรับรู้และสามารถทำลายสีงที่กีดขวางที่เป็นอุปสรรคต่อความรู้สึกที่แท้จริงของร่างกายท่าน
คัดลอกเรียบเรียงจากหนังสือ
HOW TO SEE AND READ THE AUAR โดย Ted Andrews
ตาทิพย์ โดย อ.ย่า เยาวเรศ บุนนาค
พลังแสงออร่า โดย หลวงพ่อโลกทิพย์ ( อ.คะนอง เนินอุไร