การนำหินมาบำบัดรักษาโรคนั้น นอกเหนือจากการเรียนรู้ดึงพลังจักรวาลที่เก็บสะสมอยู่ในหินต่างๆแล้ว ยังมีความเชื่อตามทฤษฏีที่ค้นคว้ามาแล้ว ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วย และสามารถบำบัดรักษาโรคต่างๆได้ มีหลักฐานปรากฏถึงการใช้หินหรืออัญมณีในการรักษามานานตั้งแต่สมัยโบราณ เช่น ในไอยคุปต์มีการนำไข่มุกมาขัดผิวเพื่อความเปล่งปลั่ง พระนางคลีโอพัตราเสวยไข่มุกกับเหล้าองุ่นแดงเพื่อบำรุงความงาม นอกจากนี้ยังมีการนำทับทิมกับโกเมนเพื่อกระตุ้นเซล์ ใช้หินปะการังกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต เชื่อว่าหากเอามรกตมาอมไว้ใต้ลิ้นจะช่วยให้สติปัญญาเฉียบแหลม อเมทิสต์ใช้ระงับพิษและอาการอับเสบ หรือ อความารีนใช้ขับของเหลวส่วนเกินออกจากร่างกายได้
นี่คือทฤษฎีทั้ง 7 ข้อ ของการใช้หินเพื่อนำมาบำบัดรักษาโรค
1. ทฤษฏีคลื่นสั่นสะเทือน ( Vibrational Theory )
การนำหินที่มีคลื่นพลังสามารถทำให้โรคที่เกิดจากคลื่นสั่นสะเทือนในอวัยวะต่างๆ กลับมาทำงานเป็นปกติ เพราะเมื่อเกิดอาการเจ็บป่วยของอวัยวะต่างๆนั้น คลื่นอวัยวะต่างๆเกิดการบกพร่อง ขาดความสมดุล ส่งผลให้ร่างกายเกิดอาการเจ็บป่วย หินสามารถเข้าไปจัดระบบสมดุลของคลื่นสั่นสะเทือนให้ใหม่
2. ทฤษฎีจักระ ( Chakra Theory )
ความเชื่อของคนโบราณ กล่าวถึงพลังแห่งชีวิต ก็คือการเดินพลังตามจุดจักระ หากจักระไม่มีจุดติดขัดการไหลเวียนของพลังงานก็เป็นไปอย่างปกติ แต่ถ้าจุดไหนติดขัดอวัยวะภายในทำงานไม่ปกติ อาการเจ็บป่วยก็จะสะท้อนออกมา การศึกษาในปัจจุบัน พบว่า จุดจักระของสมัยโบราณตรงกับตำแหน่งไร้ท่อที่ผลิตฮอร์โมนต่างๆนั้น หากต่อมไร้ท่อใดทำงานผิดปกติไปก็จะเกิดอาการเจ็บป่วยขึ้นมา ดังนั้นจึงมีการผสมผสานนำหินที่เกี่ยวข้องกับจักระต่างๆ มาวางไว้ยังตำแหน่งจักระ เพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนให้จักระทำงานให้ดีขึ้น พลังงานจะได้ไหลเวียนเป็นอย่างดีเช่นเดียวกับการกดจุดฝังเข็ม ( คาดว่าหลายคนคงรู้จักจักระกันดี จึงขออนุญาติไม่กล่าวถึงจุดจักระต่างๆในร่างกาย เพื่อไม่ให้เรื่องแตกแขนงออกไปมาก )
3. ทฤษฎีการถ่ายเทพลังงาน ( Exchange Energy Therory )
สีงต่างๆรอบตัวเรามีการหมุนเวียนตามธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา ร่างกายของเราก็มีพลังงาน เมื่อร่างกายทรุดโทรม
พลังชีวิตก็ลดลง เมื่อพลังชีวิตของเราทำงานผิดปกติอาจเพราะมีพลังด้านลบอยู่มาก จึงจำเป็นยต้องถ่ายเทพลังส่วนนี้ออก
ไปเพื่อช่วยให้ร่างกายมีพลังฟื้นขึ้นมาใหม่ เพื่อความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า มีหินอยู่หลายๆชนิดที่เพียงแต่เราถือไว่้ในมือ
หรือเข้าไปอยู่ใกล้ ก็สามารถถ่ายเทพลังออกมาสู่ตัวเราจนรู้สึกสดชื่น สดใส มีชีวิตชีวาเพิ่มมากขึ้น เช่น Quartz ( หิน
เขี้ยวหนุมาน )
4. ทฤษฏีดูดพิษ ( Toxic Deduction Theory )
หินหลายชนิดมีความสามารถในการดูดซับพลังด้านลบหรือแม้กระทั่งความเจ็บปวด เมื่อนำหินที่มีคุณสมบัติในการบำบัดมาวางไว้ยังตำแหน่งที่เจ็บปวด หินจะซับดึงเอาความเจ็บปวดนั้นขึ้นมา ทำให้อาการปวดต่างๆทุเลาลง หินพวกนี้ได้แก่ Fluorite( ฟูลออไรต์ ) , Blood Stone ( เลือดพระเจ้า ) เป็นต้น
5. ทฤษฎีเหมือนรักษา ( Like Cures Like Theory )
เป็นความเชื่อเก่าแก่ของคนโบราณ ว่า ธรรมชาติต่างมีสีงที่เหมือนกัน อย่างหินที่มีชื่อพ้องหรือเกี่ยวข้องกับอวัยวะใด
ก็สามารถรักษาอวัยวะนั้นได้ อย่างเช่น หินเลือดพระเจ้าก็สามารถรักษาอาการที่เกี่ยวกับเลือดได้ และเมื่อได้ผลดีก็มีการบันทึกต่อๆกันมา
6. ทฤษฏีสี ( Colour Theory )
ตามทฤษฎีของสีนั้น มีการแบ่งออกเป็นสีร้อน สีเย็น สีกลาง สีแต่ละประเภทมีพลังมีอำนาจ มีอิทธิพลต่อจิตใจ เป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ โดยเฉพาะแพทย์ทางจิต ระบบประสาทว่า แสงและสีที่สะท้อนเข้ามาในตาเรานั้น สามารถบำบัดช่วยเหลืออาการที่เกิดทางจิต และยังส่งผลต่อเนื่องในการบำบัดรักษาอาการทางกายได้อีกด้วย ( รายละเอียดของการบำบัดด้วยสีมีสาระสำคัญและรายละเอียดมาก ซึ่งรวมไปถึงสีของออร่าที่จะนำมากล่าวในโอกาศต่อไป )
7. ทฤษฎีโปรแกรมจิต ( Mind Programming Theory )
การตั้งกำหนดจิตตั้งเป้าให้ทำสีงหนึ่งสีงใดให้ได้ หรืออาจเรียกว่าทฤษฎีการสะกดจิตชนิดหนึ่ง เป็นทฤษฎีที่นิยมกันมากในปัจจุบัน หลายคนประสบความสำเร็จเพราะเชื่อมั่นในพลังจิตของตนเอง ที่ได้รับการฝึกฝนเป็นประจำ ยีงมีการนำไปใช้ก็จะเพิ่มความเชื่อมั่นและศรัทธา
และนี่คือทฤษฎีทั้ง 7 ข้อ ของการใช้หินเพื่อนำมาบำบัดรักษาโรค